โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke)
โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) หรือเรียกว่า อัมพฤกษ์ เกิดจากสมองขาดเลือดไปเลี้ยงเนื่องจากหลอดเลือดตีบ หลอดเลือดอุดตัน หรือหลอดเลือดแตก ส่งผลให้เนื้อเยื่อในสมองถูกทำลาย
ความผิดปกติของโรคหลอดเลือดสมองแบ่งออกได้เป็นชนิดต่างๆ ดังนี้ คือ
1. โรคหลอดเลือดสมองชนิดขาดเลือด (Ischemic Stroke) พบได้กว่า 80 % ของโรคหลอดเลือดสมองทั้งหมด เกิดจากการอุดตันของหลอดเลือดจนทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ
2. โรคหลอดเลือดสมองชนิดเลือดออกในสมอง (Hemorrhagic Stroke) เกิดจากภาวะหลอดเลือดสมองแตก หรือฉีกขาด ทำให้เลือดรั่วไหลเข้าไปในเนื้อเยื่อสมอง พบได้ประมาณ 20 %
ปัจจัยเสี่ยง
1. ปัจจัยเสี่ยงที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้
- อายุ : ผู้ที่มีอายุมากกว่า 65 ปี จะมีความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากหลอดเลือดจะมีการแข็งตัวมากขึ้นและมีไขมันเกาะหนาตัวทำให้เลือดไหลผ่านได้ลำบาก
- เพศ : เพศชาย มีความเสี่ยงมากกว่าเพศหญิง
- ประวัติครอบครัวเป็นโรคหลอดเลือดสมองหรือโรคหลอดเลือดหัวใจ
2. ปัจจัยที่เปลี่ยนแปลงได้
- ความดันโลหิตสูง , เบาหวาน ,ไขมันในเลือดสูง ,การสูบบุหรี่ , โรคหัวใจ
โดยสามารถสังเกตอาการในเบื้องต้นได้ดังนี้ ( F.A.S.T )
F Face : ใบหน้า มีอาการกล้ามเนื้อใบหน้าอ่อนแรง ใบหน้าเบี้ยว ปากเบี้ยว น้ำลายไหลออกจากมุมปากข้างที่ตก
A Arm : แขน มีอาการแขนขาอ่อนแรงซีกใดซีกหนึ่งของร่างกาย
S Speak : การพูด พูดลำบาก พูดติดๆขัดๆ พูดไม่ชัด นึกคำพูดไม่ออก
T Time : ควรมาโรงพยาบาลด้วยความรวดเร็ว ภายใน 4.5 ชั่วโมง
การรักษาและบำบัดฟื้นฟูสมรรถภาพสมรรถภาพของผู้ป่วยหลังจากการเป็นโรคหลอดเลือดสมอง
นอกจากที่ผู้ป่วยจะได้รับการรักษาทางยาที่เหมาะสมจากแพทย์แล้ว กายภาพบำบัดเป็นอีกหนึ่งการรักษาที่สำคัญและมีบทบาทอย่างยิ่งที่จะช่วยฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกายและป้องกันโรคแทรกซ้อนให้กับผู้ป่วย โดยการรักษาทางกายภาพบำบัดในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองนั้นจะประกอบไปด้วย
- การยืดเหยียดกล้ามเนื้อ : ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองส่วนใหญ่หลังจากผ่านช่วงแรกของการเป็นโรคหลอดเลือดสมอง มักจะมีอาการเกร็งของกล้ามเนื้อตามมา โดยการเกร็งของกล้ามเนื้อนี้ จะมีผลให้กล้ามเนื้อของผู้ป่วยหดรั้ง สูญเสียความยืดหยุ่นตามปกติไป นักกายภาพบำบัดจึงจำเป็นจะต้องให้การรักษาด้วยการยืดกล้ามเนื้อ เพื่อลดอาการเกร็งและเพื่อความยืดหยุ่นให้กับกล้ามเนื้อ สำหรับเตรียมความพร้อมในการออกกำลังกายต่อไป
- การดัดและขยับข้อต่อเพื่อเพิ่มมุมการเคลื่อนไหว : ในกรณีที่ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองไม่ได้ขยับร่างกายเป็นเวลานานหรือไม่ได้ยืนเดินลงน้ำหนัก จะมีผลทำให้ข้อต่อของผู้ป่วยยึดติดไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ตามปกติ ผู้ป่วยจึงจำเป็นที่จะต้องได้รับการขยับข้อต่ออย่างถูกต้องและเหมาะสมโดยนักกายภาพบำบัด เพื่อให้ข้อต่อสามารถเคลื่อนไหวได้ใกล้เคียงปกติมากที่สุด ทั้งนี้ทั้งนั้นการขยับข้อต่อยังสามารถลดความเจ็บปวดจากการตึงรั้งของเนื้อเยื่อรอบๆข้อได้อีกด้วย
- การออกกำลังกายเพื่อเพิ่มกำลังกล้ามเนื้อ : สิ่งที่ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองจะต้องเผชิญนั้น คือ ภาวะอ่อนแรงของกล้ามเนื้อครึ่งซีกร่างกาย ผู้ป่วยจึงมีความจำเป็นอย่างมากที่จะต้องได้รับการกระตุ้นกล้ามเนื้อให้ทำงานอย่างถูกต้อง และการแนะนำท่าทางการออกกำลังการที่เหมาะสมเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถกลับมาใช้ชีวิตหรือช่วยเหลือตัวเองได้ใกล้เคียงปกติและปลอดภัยที่สุด
- การฝึกการทรงตัว : ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองมีความเสี่ยงที่จะล้มง่าย ทั้งนี้เนื่องจากผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองจะมีการอ่อนแรงของกลุ่มกล้ามเนื้อที่ใช้ในการทรงตัว และในบางรายมีการสูญเสียความรู้สึกไป ทำให้ประสิทธิภาพในการทรงตัวหรือการรักษาความมั่นคงให้กับร่างกายน้อยลง การฝึกการทรงตัวในท่านั่ง ท่ายืน หรือท่าเดิน จึงมีส่วนช่วยสร้างความมั่นคงให้กับผู้ป่วยและลดความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุจากการล้มได้
- การฝึกการใช้มือและกิจวัตรประจำวัน : เมื่อผู้ป่วยมีความแข็งแรงของกล้ามเนื้อมากขึ้น การฝึกการใช้มือในการหยิบจับสิ่งของ เช่น การหยิบแก้วน้ำ การรับประทานอาหาร หรือการช่วยเหลือตัวเองในการลุกนั่ง เปลี่ยนท่าทางได้อย่างถูกต้อง จะสามารถช่วยให้ผู้ป่วยทำกิจวัตรต่างๆได้ด้วยตัวเอง
- การฝึกเดิน : ในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง การเดิน จะเป็นปัญหาสำคัญที่ผู้ป่วยจะต้องเจอ และต้องได้รับการวิเคราะห์ปัญหา เพื่อนำไปสู่การฝึกฝนการออกกำลังกายอย่างถูกวิธี เช่น การฝึกเดินต่อเท้า การฝึกขึ้น-ลงบันได การฝึกเดินบนสายพาน เป็นต้น เพื่อให้ผู้ป่วยกลับมาเดินได้อย่างปลอดภัยและใกล้เคียงปกติมากที่สุด
- การฝึกหายใจ : ผู้ป่วยจะมีการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อกลุ่มที่ช่วยในการหายใจร่วมด้วย ทำให้ผู้ป่วยหายใจได้ไม่ลึก และเหนื่อยง่าย ผู้ป่วยจึงควรได้รับคำแนะนำที่ถูกต้องในการฝึกการหายใจ
- การฝึกพูดและกลืน : ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองจะมีปัญหาในการควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อลิ้น กล้ามเนื้อเคี้ยว และกล้ามเนื้อใบหน้า มักจะพบว่าบางครั้งผู้ป่วยจะมีน้ำลายไหลบริเวณมุมปาก สำลัก หรือพูดไม่ชัด ไม่เป็นคำ ดังนั้นการกระตุ้นด้วยการฝึกพูด ฝึกกลืน จะมีส่วนช่วยให้ผู้ป่วยพัฒนาความสามารถในการพูดและกลืนได้ดีขึ้นและป้องกันในส่วนของโรคแทรกซ้อนจากการสำลักอาหารได้อีกด้วย
การดูแลของสมาชิกในครอบครัว/ผู้ดูแล
การมีส่วนร่วมของครอบครัวมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งระหว่างการฟื้นฟูสมรรถภาพ โดยครอบครัวหรือผู้ดูแลจะต้องมีความรู้ความเข้าใจและทักษะที่ถูกต้องในการดูแลผู้ป่วยเพื่อหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บ มีความอดทน เข้าใจในสภาวะร่างกายและจิตใจของผู้ป่วย และให้กำลังใจเพื่อให้ผู้ป่วยสามารถผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ไปให้ได้
การป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง รวมถึงอาหารรสเค็มจัด
- ควบคุมน้ำหนัก
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
- งดสูบบุหรี่
- ในกรณีที่มีโรคประจำตัว ควรพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอเพื่อความคุมปัจจัยเสี่ยง