พาร์กินโซนิซึ่ม (Parkinsonism)
นิยาม คำว่า ‘พาร์กินโซนิซึ่ม’ (Parkinsonism) หมายถึง กลุ่มอาการที่ตรวจพบการเคลื่อนไหวน้อยและช้า อาการสั่น อาการแข็งเกร็ง และปัญหาของการเดิน พาร์กินโซนิซึ่มเป็นกลุ่มอาการซึ่งเกิดจากโรคอื่นๆ โดยเฉพาะโรคพาร์กินสันซึ่งถือเป็นสาเหตุหลัก ถึงแม้ว่าสาเหตุส่วนใหญ่จะเกิดจากโรคพาร์กินสัน แต่อาการพาร์กินโซนิซึ่มก็สามารถเกิดได้จากสาเหตุอื่นๆอีก เช่น ยาบางชนิด กลุ่มโรคพาร์กินสันเทียม และโรคหลอดเลือดสมองผิดปกติ เป็นต้น ดังนั้นความหมายของคำว่า พาร์กินโซนิซึ่มและโรคพาร์กินสัน จึงไม่เหมือนกัน นอกจากนี้อาจตรวจพบอาการที่นอกเหนือจากการเคลื่อนไหว เช่น อาการหลงลืม ปัญหาการนอน และท้องผูก เป็นต้น
สาเหตุ
ผู้ป่วยกลุ่มอาการนี้จะพบว่ามีการขาดหรือลดลงของสารสื่อประสาทในสมองที่ควบคุมการเคลื่อนไหว โดยเกิดจากโรคทางระบบประสาทที่ทั้งทราบสาเหตุและไม่ทราบสาเหตุ หรือจากการที่สมองถูกทำลายหลายตำแหน่ง เช่น จากการได้รับยาบางชนิด กลุ่มโรคพาร์กินสันเทียม และโรคหลอดเลือดสมองผิดปกติ
กลุ่มอาการและลักษณะอาการแสดงที่พบจากการตรวจร่างกาย
ประกอบด้วยอาการอย่างน้อย 2 ใน 4 ข้อจากอาการต่อไปนี้
1. เคลื่อนไหวน้อยและช้า (Bradykinesia) ถือเป็นอาการหลักที่ต้องเกิดในผู้ป่วยพาร์กินโซนิซึ่มทุกราย
2. อาการสั่น (Resting tremor) มักเกิดที่มือมากกว่าขา
3. อาการแข็งเกร็ง (Rigidity) มักเกิดข้างเดียวกับที่มีอาการสั่นและเคลื่อนไหวช้า
4. เสียการทรงตัว (Postural instability) ส่งผลให้เกิดปัญหาการยืนและเดิน
อาการที่นอกเหนือจากการเคลื่อนไหวที่อาจตรวจพบ
1. อาการทางจิตประสาท ภาวะซึมเศร้า ภาวะวิกลจริตและอาการประสาทหลอน
2. ปัญหาในเรื่องการนอน เช่น อาการหลับแล้วตื่นเป็นช่วงๆ อาการนอนไม่หลับ อาการง่วงหลับตอนกลางวัน อาการฝันรุนแรง และเห็นภาพหลอนในช่วงกลางคืน เป็นต้น
3. อาการทางระบบประสาทอัตโนมัติ เช่น อาการท้องผูก ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่
4. ภาวะเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ
5. ปัญหาในการควบคุมความดันโลหิตเมื่อมีการเปลี่ยนท่า
6. ภาวะเหงื่อออกมากกว่าปกติ
7. ภาวะน้ำลายไหลยืด
8. อาการอื่นๆ เช่น อาการปวด อาการเหนื่อย หมดแรง เพลีย การพูดเสียงเบาลง ภาวะการกลืนลำบาก และสำลัก
การรักษาทางกายภาพบำบัดในผู้ป่วยกลุ่มอาการพาร์กินโซนิซึ่ม
การรักษาทางกายภาพบำบัดนั้นเป็นการรักษาร่วมกับการรักษาทางยาที่มีความสำคัญในทุกระยะของอาการ โดยการรักษาทางกายภาพบำบัดจะเน้นการออกกำลังกายเพื่อช่วยให้ผู้ป่วยสามารถเคลื่อนไหวได้ดีขึ้นในด้านต่างๆดังนี้
1. การออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นร่างกาย
เนื่องจากผู้ป่วยจะมีอาการแข็งเกร็งของกล้ามเนื้อทำให้เคลื่อนไหวลำบาก การออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อจะเน้นที่กล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว กล้ามเนื้อหลัง กล้ามเนื้อแขนและขา รวมถึงกล้ามเนื้อที่ใช้ในการหายใจ และกล้ามเนื้อใบหน้า ซึ่งเป็นการเพิ่มการไหลเวียนเลือดและเพิ่มความคล่องตัว ความยืดหยุ่นของร่างกายส่งผลให้ผู้ป่วยสามารถเคลื่อนไหวได้ดีขึ้น สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ง่ายยิ่งขึ้น
2. การออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ
เนื่องจากผู้ป่วยเคลื่อนไหวช้าและลำตัวแข็งเกร็งทำให้ผู้ป่วยมีกิจกรรมหรือการเคลื่อนไหวลดลง ส่งผลให้ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อลดลง ซึ่งจะเกิดปัญหาต่อการเคลื่อนไหวร่างกายรวมถึงภูมิคุ้มกันร่างกายที่จะลดต่ำลง การเพิ่มความแข็งแรงของร่างกายจะมีการฝึกทั้งแบบแยกกลุ่มกล้ามเนื้อ และการฝึกร่างกายเพื่อทำกิจกรรมจริงที่ตรงตามปัญหา เช่น ในผู้ป่วยหลังค่อม ต้องออกกำลังกายแยกกลุ่มกล้ามเนื้อ คือ เน้นกล้ามเนื้อเหยียดหลัง เหยียดสะโพก และเหยียดเข่า ส่วนในผู้ป่วยที่ลุกขึ้นยืนลำบากต้องฝึกทั้งแบบแยกกลุ่มกล้ามเนื้อ เช่น กล้ามเนื้อหน้าท้อง กล้ามเนื้อก้น กล้ามเนื้อเข่า และกล้ามเนื้อหลัง รวมทั้งฝึกการทำกิจกรรมจริง นั่นคือการฝึกลุกขึ้นยืนโดยใช้ลำดับกล้ามเนื้อถูกต้อง และตรงตามจังหวะที่ถูกต้องของการลุกขึ้นยืน
3. การออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความสามารถในการทรงตัว
ผู้ป่วยกลุ่มพาร์กินโซนิซึ่มมีความเสี่ยงที่จะล้มง่าย ทั้งจากความยืดหยุ่นและความแข็งแรงของร่างกายที่ลดลง อีกทั้งมีความบกพร่องของระบบประสาทอัตโนมัติที่ทำหน้าที่ควบคุมการทรงตัว การฝึกการทรงตัวทั้งในท่านั่ง ท่ายืน และท่าเดินนั้นจึงเป็นการรักษาสำคัญที่จะช่วยลดการเกิดอุบัติเหตุที่จะเกิดกับผู้ป่วยได้
4. การฝึกเดิน
ผู้ป่วยกลุ่มพาร์กินโซนิซึ่มมักมีอาการเดินตัวแข็งทื่อ แกว่งแขนน้อย ลำตัวย่อต่ำ หลังค่อม เดินกางขา ลำตัวพุ่งไปข้างหน้า จังหวะการเดินก้าวสั้นซอยเท้าถี่ เดินแล้วเท้าติดพื้นก้าวไม่ออก และเดินไม่มั่นคงเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ ทั้งนี้การตรวจและวิเคราะห์หาสาเหตุของความผิดปกติในการเดินของผู้ป่วยแต่ละรายถือเป็นการเริ่มต้นเพื่อนำไปสู่การรักษาที่ตรงจุดและเพื่อให้ผู้ป่วยแต่ละรายเดินได้อย่างมั่นคงและเป็นอิสระมากขึ้น เช่น การฝึกเดินให้ถูกจังหวะ ฝึกเดินก้าวเท้ายาว ฝึกเดินแกว่งแขน ฝึกเดินบนสายพาน และฝึกกลับตัวเพื่อป้องกันการล้ม เป็นต้น
5. การฝึกกิจวัตรประจำวัน
ผู้ป่วยกลุ่มพาร์กินโซนิซึ่มจะมีปัญหาการทำกิจวัตรเกิดขึ้นทีละน้อยแต่สังเกตเห็นได้ เช่น การลุกขึ้นยืนไม่คล่องแคล่ว การเข้าห้องน้ำ การเดินขึ้นบันได การรับประทานอาหารด้วยตนเอง และความทนทานในการทำกิจกรรมลดลง เป็นต้น ผู้ป่วยต้องได้รับคำแนะนำและการฝึกให้ทำกิจวัตรอย่างถูกต้องและเหมาะสมกับความสามารถอยู่เสมอเพื่อให้ผู้ป่วยสามารถช่วยเหลือตนเองได้
6. การพูดและการกลืน
ผู้ป่วยกลุ่มพาร์กินโซนิซึ่มมักมีปัญหาเรื่องการพูด คือ พูดน้อยลง เสียงเบา ท้ายที่สุดผู้ป่วยอาจจะไม่มีเสียงพูด และเมื่อผู้ป่วยไม่พูดเป็นกิจวัตรสักระยะหนึ่ง มักจะพบปัญหาการกลืนอาหารลำบากหรือดื่มน้ำแล้วสำลัก ดังนั้นการกระตุ้นพูดคุย ร้องเพลง หรือมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นจะช่วยป้องกันปัญหาดังกล่าวข้างต้นได้